ขั้นตอนการเปลี่ยนและโคลน OSX จาก HDD ไปเป็น SSD Macbook pro (13-inch, Mid 2012)

     
     วันนี้เราก็จะมานำเสนอวิธีการเปลี่ยน HDD ไปเป็น SSD ของ macbook เนื่องจาก macbook (MacBook Pro (13-inch, Mid 2012) ระบบปฏิบัติการ macOS Sierra (Vertion 10.12.6)) ที่ใช้อยู่นั้นเริ่มที่จะช้า ตอนเปิดเครื่องต้องใช้เวลานาน เปิดโปรแกรมช้า เลยตัดสินใจที่จะ upgrade มันซะเลย


ขั้นตอนการเปลี่ยน HDD เป็น SSD

  1. อุปกรณ์ที่ต้องมี
  2. วิธีการย้ายข้อมูลจาก HDD ไปยัง SSD ตัวใหม่
  3. ถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ (นำ SSD ใส่แทนที่ HDD)


1. อุปกรณ์ที่ต้องมี
1.1 SSD (ผมใช้ SAMSUNG V-NAND SSD 850 EVO 500GB)
1.2 สาย SATA เพื่อต่อ SSD กับ คอม
1.3 ไขควงหัวแฉก สำหรับไขเปิดฝาครอบ
1.4 ไขควงหัวทอร์ค เบอร์ T6 สำหรับไขที่ยึด SSD (หากไม่มีสามารถใช้คีมหนีบแทนได้ แต่ต้องใช้ความระมัดระวังนิดหน่อย)


2. วิธีการย้ายข้อมูลจาก HDD ไปยัง SSD ตัวใหม่
การย้ายหรือการโคลนข้อมูลจาก HDD ลูกเดิม ไปยัง SSD ลูกใหม่นั้นทำได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็น
  • แบบใช้ Time Machine
  • แบบใช้ program (Carbon Copy Cloner)
  • แบบไม่ต้องใช้ program (วิธีที่เราใช้)

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่่ว่าจะใช้วิธีไหนผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าจะสะดวกวิธีไหน
ครั้งนี้เราจะมาอธิบายแบบที่ไม่ต้องใช้ program แบบละเอียดกัน

ขั้นตอนการย้ายข้อมูลจาก HDD ไปยัง SSD ตัวใหม่
PS. ก่อนทำการย้าย เพื่อลดเวลาในการย้ายข้อมูล แนะนำให้ลบข้อมูล โปรแกรมในเครื่องที่ไม่จำเป็นออกก่อน

2.1 เสียบสาย SATA เข้ากับ SSD  และ macbook


2.2 เปิดเครื่อง พร้อมกับกด command + r ค้างไว้ประมาณ 3~5 วินาที
สักพักหน้าจอ macOS Utilities จะปรากฎขึ้นมา
ให้เลือก Disk Utility แล้ว click Continue




2.2 ในหน้านี้เราจะเห็น Internal Drive (HDD ที่อยู่ในเครื่อง mac) และ External Drive (SSD ตัวใหม่ที่เพิ่งเสียบเข้าไป)
ทำการลบ erase SSD 
>> click เลือกที่ External SSD (Untitled)
>> click ที่ Erase เพื่อทำการลบข้อมูลใน SSD
>> เลือก Format แบบ Mac OS Extended (Journaled) แล้ว click Erase




2.3 เมื่อ Erase เสร็จแล้ว ต่อไปเป็นการย้ายข้อมูลจาก Macintosh HD ไปยัง SSD
>> click เลือกที่ External SSD (Untitled)
>> click ที่ Restore, เลือก Restore จาก  Macintosh HD (Restore from คือ ให้เลือกว่าเราจะย้ายข้อมูลจากHDD/SSD ลูกไหน ) >> click Restore

ในขั้นตอนนี้จะใช้เวลาพอสมควรขึ้นอยู่กับว่าในเครื่องมีข้อมูลมากน้อยแค่ไหน
เมื่อทำการ Restore เสร็จแล้วให้ restart เครื่อง




2.4 เมื่อเครื่องเปิดแล้ว OS ที่ run อยู่ยังเป็น OS จาก HDD  ลูกเดิม
เราจะทำการเปลี่ยนเพื่อให้ run ที่ SSD ลูกใหม่แทน โดยไปที่
>> System Preferences >> startup Disk 
>> ใส่ password เพื่อแก้ไข (หากเครื่องไม่ได้ตั้ง password ไว้ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลย)
>> เลือก hard disk ตัวใหม่ (SSD) เพื่อเป็นตัว start up ในตอนเปิดเครื่อง
>> กด restart 

เมื่อ restart เสร็จ เครื่องจะ run OS จาก hard disk ลูกใหม่ นั่นคือ SSD
เราจะเห็นได้ว่าเครื่องเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน จากนั้นให้ทำการ shut down เครื่องเพื่อที่จะใส่ SSD ลงในเครื่อง


3.  ถอดเปลี่ยนอุปกรณ์ (นำ SSD ใส่แทนที่ HDD)
3.1 ไขน็อตด้านหลังออก และเปิดฝาออก


3.2 ถอดสาย battery ออก เพื่อป้องกันไฟรั่วไหล อาจทำให้วงจรเสียหายได้



3.3 ทำการถอด HDD ออก
>> ไขน็อตออก 
>> ดึงแผ่นใสขึ้น เพื่อยกตัว HDD ขึ้น 
>> ค่อยๆดึงสายที่เชื่อมต่อกับตัว HDD ออก



3.4 พอถอด HDD ออกแล้ว ก็ถอดน็อตที่ยึดด้านข้างออก
>> ไขน็อตที่อนู่ด้านข้างทั้ง 4 ตัวออกด้วย  ไขควงหัวทอร์คหรือคีม


3.5 นำ SSD ตัวใหม่ ใส่เข้าไป
>> ขันน็อตเข้าด้านข้าง
>> แกะแผ่นใสจาก HDD มาติดกับ SSD เพื่อง่ายต่อการดึงออกครั้งต่อไป (ทำก็ได้ ไม่ทำก็ได้)
>> ต่อสายเข้ากับ SSD 
>> ใส่ SSD ลงไปในเครื่อง ขันน็อตยึดให้เรียบร้อย
>> ปิดฝาครอบ >> เสร็จสมบูรณ์
>> เปิดเครื่อง แล้วก็ทำงานได้ตามปกติ 


เพียงเท่านี้ Macbook ของเราก็เร็วเหมือนกับตอนที่ซื้อมาใหม่ๆเลยทีเดียว

How to get mouse cursor in c language?

C Language

Mouse Cursor code
**********************
add header
>> #include <stdio.h>
>> #include <windows.h>


          int main(void)
          {
while(1)
{
POINT po;
int x, y;
GetCursorPos(&po);

printf("x: %d, y: %d", po.x, po,y);        
printf("\r");

}
          }


ควรอ่านก่อนตัดสินใจ! การวิธีเลือก SD CARD หรือ micro SD CARD อย่างมืออาชีพ

ปัจจุบัน SD Card (Secure Digital Card) มีให้เราเลือกมากมาย อีกทั้งมีหลากหลายราคา หลากหลายยี่ห้อ หลากหลายขนาดอีกด้วย 
แล้วมีวิธีเลือกแบบไหนดี อันไหนเหมาะกับการใช้กับอุปกรณ์แบบไหนหละ? หลายๆคนก็คงจะงงๆ และเลือกไม่ถูกว่าจะซื้อแบบไหนดี

สำหรับหลายๆคนที่กำลังจะซื้อ sd card แต่ไม่รู้ว่าจะซื้อแบบไหนให้เหมาะกับการใช้งานของตัวเองดี ทางเราจึงอยากจะมาแนะนำวิธีหรือเคล็ดที่ไม่ลับมานำเสนอให้ได้กระจ่างกัน

********************************
เพื่อให้ง่ายต่อการเข้าใจ ขอแยกเป็นหัวข้อดังนี้

1. อธิบายเครื่องหมายบน SD Card

2. แบ่งชนิดความจุของ SD Card (SD Card และ micro SD Card)

3. ความเร็ว (Speed Class) ของ SD Card

4. เลือก SD Card ให้เหมาะกับการใช้งาน



********************************


1. อธิบายเครื่องหมายบน SD Card
จากภาพเป็นการอธิบายความหมายสัญลักษณ์ต่างๆบน SD Card
- ความเร็วสูงสุดในการส่งข้อมูล 
> แสดงความเร็วในการอ่านหรือส่งข้อมูลหน่วย (MB/s) ความเร็วยิ่งเยอะยิ่งอ่านข้อมูลได้เร็ว

- ความจุ (Memory)
> บอกว่า SD Card นี้มีความจุเท่าไหร่ ยิ่งเยอะยิ่งจุข้อมูลได้มาก

- แบ่งชนิดของความจุ
  > แสดงชนิดของความจุแบ่งเป็น SD, SDHC และ SDXC (ดูเพิ่มเติมที่ข้อ 2)

- Speed Class
> บอกถึงความเร็วในการเขียนหรือบันทึกข้อมูลลงใน SD Card หน่วย (MB/s) ปัจจุบันมี Class 2 ~ Class 10

- UHS (Ultra High Speed) Speed Class
> เลข 1 ที่อยู่ในตัว U นั้นเป็นการอ่านข้อมูลด้วยความเร็วขั้นต่ำที่ 10 (MB/s) อ่านได้เร็วกว่า Class 10ธรรมดา
> เลข 3 ที่อยู่ในตัว U นั้นเป็นการอ่านข้อมูลด้วยความเร็วขั้นต่ำที่ 30 (MB/s) อ่านได้เร็วกว่า Class 10ธรรมดา
*ทั้งนี้ต้องเช็คด้วยว่าอุปกรณ์ของเรารับรองการ์ดประเภทนี้หรือไม่

- Bus Speed
> หน่วยวัดค่าของ UHS แบ่งเป็น UHS-I และ UHS-II
> UHS-I อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 104 (MB/s)
> UHS-II อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 312 (MB/s)

- เครื่องหมาย V (Video Speed Class)
> เครื่องหมายตัววีนี้ถูกออกแบบมาเพื่อการบันทึกวีดีโอโดยเฉพาะ เพื่อรองรับการอัดวีดีโอระดับ 4K หรือมากกว่า ตัวเลขที่ต่อท้าย V คือความเร็วในการเขียนข้อมูล (MB/s) เช่น V90 = มีความเร็วในการเขียนข้อมูลต่ำสุดที่ 90 (MB/s) นั่นเอง
> V6,V10 เหมาะกับ Standard Video
> V30 เหมาะกับ Full HD/ HD Video
> V60 เหมาะกับ 4K Video
> V90 เหมาะกับ 8K Video


2. แบ่งชนิดความจุของ SD Card (SD Card และ micro SD Card)

SD Card ใช้กับอุปกรณ์จำพวก => คอมพิวเตอร์, กล้อง DSLR, Digital Camera หรือกล้องทั่วไป
micro SD Card ใช้กับอุปกรณ์จำพวก => โทรศัพท์, smart phone, แท็บเล็ต tablet

โดย SD Card และ micro SD Card นั้น สามารถแบ่งตามควาจุได้ดังนี้
- SD (Secure Digital Card) มีความจุตั้งแต่ 4 MB ถึง 2GB
- SDHC (Secure Digital High Capacity) มีความจุตั้งแต่ 4 GB ถึง 32GB

- SDXC (Secure Digital eXtended Capacity) มีความจุตั้งแต่ 32 GB ขึ้นไป

3. ความเร็ว (Speed Class) ของ SD Card
นอกจากความจุของ SD Card แล้วในเรื่องของความเร็วในการอ่านและเขียนข้อมูลก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามไป

ความเร็ว (Speed Class) ของการเขียนข้อมูลนั้นแบ่งเป็น class ดังนี้
Class 2 = มีความเร็วในการเขียนข้อมูลที่ 2 (MB/s)
> เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูล เพลง, รูป และ sd video
Class 4 = มีความเร็วในการเขียนข้อมูลที่ 4 (MB/s)
> เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูล เพลง, รูป, sd video, HD 700 video
Class 6 = มีความเร็วในการเขียนข้อมูลที่ 6 (MB/s)
> เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูล เพลง, รูป, sd video, HD 700 video, HD 1080 video
Class 10 = มีความเร็วในการเขียนข้อมูลที่ 10 (MB/s)
> เหมาะสำหรับการเก็บข้อมูล เพลง, รูป, sd video, HD 700 video, HD 1080 video
————————————
สำหรับ Class 10 บางรุ่นนั้นมี เลข 1 หรือ 3 อยู่ในตัว U หรือเรียกว่า UHS (Ultra High Speed) Speed Class ซึ่งเป็นการ์ดที่ออกแบบมาพิเศษ 
> เหมาะสำหรับกล้องวีดีโอ บันทึกภาพแบบ 3D หรือกล้องที่ต้องการความละเอียดสูงแบบมืออาชีพ 
เป็นการ์ดที่สามารถเขียนข้อมูลได้เร็วกว่า Class 10 แบบปกติ
————————————
Bus Speed
> หน่วยวัดค่าของ UHS แบ่งเป็น UHS-I และ UHS-II
> UHS-I อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 104 (MB/s)
> UHS-II อ่านข้อมูลด้วยความเร็วสูงสุดที่ 312 (MB/s)


4. เลือก SD Card ให้เหมาะกับอุปกรณ์และการใช้งาน
ก่อนอื่นก็ต้องดูว่าเราจะนำ SD Card ไปใช้งานแบบไหน เน้นด้านไหน (เน้นความเร็วในการเขียนข้อมูล เน้นความจุที่เยอะๆไว้ก่อน หรือเน้นทางด้านงบประมาณ)

เลือกซื้อ SD Card
- ใช้เพื่อบึนทึกวีดีโอ Full HD, 1080 HD, 4K คุณภาพสูงๆ
=> แนะนำ SD Card Class 10 U3(U ที่มี 3 อยู่ข้างใน), (ยิ่งมี UHS-I หรือ UHS-II ด้วยยิ่งดี) เพื่อการบันทึกหรือการเขียนข้อมูลแบบไหลลื่น
=> แนะนำ EXTREME PRO Class 10 U3, UHS-I, II, ถ้ามี V (Video Speed Class)ยิ่งดี

- ใช้กับกล้องเพื่อการถ่ายรูปเป็นหลัก ใช้กับกล้อง DSLR, Mirrorless สเป็คสูงๆ
=> แนะนำ SD Card Class 10 หรือไม่ก็ U1(U ที่มี 1 อยู่ข้างใน), (ยิ่งมี UHS-I หรือ UHS-II ด้วยยิ่งดี) เพื่อภาพให้ได้ภาพที่มีคุณภาพ

- ใช้กับงานทั่วไป บันทึกเพลง ภาพ ที่พอใช้ได้, ใช้กับกล้อง DSLR, Mirrorless สเป็คกลางๆ
=> แนะนำ SD Card Class 6 หรือ Class 10 ก็เพียงพอ

เช็ค SD Card ส่วนลดถึง 36%

เลือกซื้อ micro SD Card
- ใช้กับ Smart phone, tablet สเป็คสูงๆ เช่น Samsung Galaxy Note 3, Samsung Galaxy S4
=> แนะนำ micro SD Card Class 10 เพราะจะอ่านและเขียนข้อมูลได้ลื่นไหลกว่า หากงบไม่พอก็ขอแนะนำ Class 6 

 - ใช้กับ Smart phone สเป็คกลางๆ
=> แนะนำ micro SD Card Class 4

- ใช้บันทึกไฟร์เอกสารหรือใช้กับ Smart phone สเป็คน้อยๆ
=> แนะนำ micro SD Card Class 2 ก็เพียงพอแล้ว

เช็ค micro SD Card ส่วนลดถึง 33 %

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

[New Update] : การสมัครและติดตั้ง Google Analytics กับ Blogspot หรือ Blogger

จุดประสงค์ของการใช้ Analytics 
จุดประสงค์ของการใช้ Analytics ก็เพื่อดูว่าผู้ที่มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรานั้นมาจากไหน ใช้อุปกรณ์อะไร และดูข้อมูลส่วนไหนในเว็บไซต์ของเรานั่นเอง 

เราสามารถรู้ได้ว่า keyword ไหนที่สามารถดึงคนเข้ามาเว็บไซต์ของเราได้บ้าง ข้อมูลตรงนี้จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์ผู้ที่มาเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเรา ช่วยให้เราสามารถปรับปรุงเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของเว็บไซต์ของเราให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายให้ได้มากที่สุดนั่นเอง

เห็นถึงประโยชน์ของการใช้ Google Analytics ขนาดนี้แล้ว ทาง Lifestyletity ก็เลยอยากจะแชร์ขั้นตอน วิธีการในการใช้ Analytics นี้ และหวังว่าผู้ที่มาอ่านจะได้รับประโยชน์จากบทความนี้นั่นเอง

เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจนั้น ผมขอแบ่งเป็น 2 ขั้นตอนดังนี้
1. การสมัครใช้งาน Analytics
2. การติดตั้งรหัสติดตาม Analytics ในเว็บไซต์หรือ Blogger ของเรา

ขั้นตอนที่ 1 : การสมัครใช้งาน Analytics

1.1 เข้าไปที่ >> https://www.google.com/analytics/ เพื่อทำการสมัครใช้งาน




1.2 เมื่อทำการสมัครเรียบร้อยแล้ว ให้เราคลิกตรง >>ผู้ดูแลระบบ




1.3 จากนั้นให้คลิกที่ >>ข้อมูลการติดตาม >>โค๊ดติดตาม เพื่อทำการรับโค๊ดติดตาม





1.4 หลังจากนั้นเราจะเห็นว่ามี 2 โค๊ดคือ
(1) รหัสติดตาม (UA-xxxxxxxx-x)
(2) โค๊ดติดตาม Universal Analytics (<script>…</script>)
เราจะใช้ทั้ง 2 โค๊ดนี้ไปติดตั้งใน Blogger หรือเว็บไซต์ของเรา



ขั้นตอนที่ 2 : การติดตั้งรหัสติดตาม Analytics ในเว็บไซต์หรือ Blogger

2.1 ลงชื่อเข้าใช้ https://www.blogger.com/




2.2 การติดตั้ง (1) รหัสติดตาม (UA-XXXXX-XX)
ไปที่ >> การตั้งค่า(Settings) >> อื่นๆ(Other)
ให้ copy (1) รหัสติดตาม มาวางตรง >>Analytics Web Property ID >>ทำการบันทึกการตั้งค่า(Save settings)




2.3 การติดตั้ง (2) โค๊ดติดตาม Universal Analytics (<script>…</script>)
ไปที่ >>ธีม(Theme) >> แก้ไข HTML(Edit HTML)
>>นำ (2) โค๊ดติดตาม Universal Analytics ไปวางไว้ก่อน </body>
>>บันทึกธีม(Save theme)

แค่นี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วสำหรับการติดตั้ง Analytics แล้วครับ

5 กล้องที่ควรมีสำหรับนักเดินทางออกไปท่องเที่ยว

เราพูดถึงเรื่องเครื่องสำอางกันไปแล้ว คราวนี้เรามาพูดถึงเรื่องเทคโนโลยีกันดีกว่า
คนเราไม่สามารถที่จะจดจำเรื่องราวทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตัวเราได้ สมองเราจะเลือกจดจำเฉพาะเรื่องราวที่สำคัญ คนสำคัญ สิ่งที่สำคัญ หรือเหตุการณ์ที่สำคัญ้ท่านั้น แต่ตอนนี้เรามีสิ่งบางสิ่งที่จะสามารถช่วยจดจำเรื่องราวดีๆ ช่วงชีวิตที่ดีๆได้

เมื่อเราออกเดินทางไปเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นเที่ยวคนเดียว เที่ยวกับเพื่อน หรือกับคนสำคัญ มันน่าจะเป็นช่วงเวลาที่น่าจดจำช่วงเวลาหนึ่งที่เราอยากจะเก็บหรือบันทึกมันเอาไว้ และสิ่งที่จะสามารถช่วยให้เราเก็บความทรงจำนั้นเอาาไว้นั่นก็คือ “กล้องถ่ายรูป" นั่นเอง

จริงๆแค่ถ่ายรูปแค่กล้อง smartphone, iPhone ก็สามารถถ่ายได้แล้ว แต่ก็แน่นอนอยู่แล้วว่าไปเที่ยวทั้งทีใครๆก็อยากจะได้รูปที่มีคุณภาพ สวยๆหน่อย


วันนี้เราจึงมีกล้องดีๆ สเป็คเจ๋งๆ ที่เหมาะแก่การพกพาไปเที่ยวมาแนะนำกัน

1. Fuji X-A3



เช็คราคา



หลังจากที่ X-A2 ขายดีเป็นเทน้ำเทท่าแล้ว ทาง Fujifilm ก็ได้เปิดกล้องตัวใหม่คือ X-A3 ออกมาก เรียกได้ว่าเป็นตัวที่น่าสนใจเลยทีเดียว



2. Fujifilm XP 90

เช็คราคา

เหตุผลที่ควรจะมีกล้องตัวนี้ก็คือ มันสามารถกันน้ำได้ในระยะความลึกถึง 15 m กันกระแทกได้จากความสูง 1.75 m เหมาะแก่การไปเที่ยวทะเลเลยทีเดียว แถมราคาของ Fujifilm XP 90 ยังสบายกระเป๋าอีกด้วย


3. Panasonic Lumix

เช็คราคา

หากคุณกำลังมองหากล้องที่กระทัดรัด เหมาะเจาะแก่การพกพาใส่กระเป๋าได้สะดวก และมีฟังค์ชันที่ให้ความละเอียดกับภาพได้มากกว่า smartphone แล้วหล่ะก็ เราขอแนะนำ Panasonic Lumix ที่ราคาสบายๆตัวนี้


4. Olympus Pen F

เช็คราคา

ทางบริษัท Olympus ได้ฉลองครบรอบ 80 ปีพร้อมกับเปิดตัวกล้องที่มีความกระทัดรัด ดีไซน์ที่แสนจะ classic อย่าง Olympus Pen F ที่ถือได้ว่าเป็นตัว Top ที่สุดของตระกูล Pen เลยก็ว่าได้


5. Nikon D500

เช็คราคา

ถ้าคุณอยากได้ภาพที่สวยๆและกำลังมองหากล้องดีๆอยู่แล้วหล่ะก็ นี่เป็นเหตุผลที่คุณควรเลือก Nikon D500 ตัวนี้เลย กล้องตัวนี้จะให้ความชัดของภาพที่ละเอียดสูงมาก แต่เรื่องน้ำหนักอาจจะหนักกว่าตัวอื่นอยู่นิดหน่อย ถ้าจะให้สบายแก่การพกพาก็ซื้อกระเป๋าโดยเฉพาะก็โอเคเลย

photo by : lazada.com



อยากมีผิวดีห้ามพลาด 8 บอดี้โลชั่นผิวขาวที่เห็นผลเร็วสุด

คราวที่แล้ว เรารีวิวครีมบำรุงผิวไปแล้ว คราวนี้เรามารีวิวบอดี้โลชั่นกันดีกว่า 

ผิวกายสามารถบ่งบอกถึงอายุได้ บางคนผิวเสียก็ทำให้ดูแก่กว่าวัย แต่การดูแลผิวให้ดูดีกระจ่างใสก็ทำให้แลดูอ่อนกว่่าวัยได้ ซึ่งก็คงไม่มีใครที่อยากจะดูแก่กว่าวัย เพราะเหตุนี้เราจึงมีเคล็ดลับที่ไม่ลับอีกต่อไปมาดูแลผิวให้ดูขาวและแลดูกระจ่างใส เป็นเคล็ดลับดีๆมาแชร์ให้ได้รู้กัน

ทำไมเราต้องดูแลผิว?
บางคนอาจมองว่าการดูแลผิวกายนั้นไม่ค่อยสำคัญมากเท่าไหร่ แต่จริงๆแล้วการดูแลผิวกายนั้นสำคัญพอๆกับการดูแลผิวหน้าเลยทีเดียว ที่เราต้องให้ความสำคัญกับการดูแลผิวกายนั้นก็เพราะว่าการดูแลผิวที่ดีจะทำให้ผิวแลดูอ่อนกว่าวัยยังไงหล่ะ

เวลาไหนที่เหมาะกับการทาบอดี้โลชั่น?
เวลาที่เหมาะแก่การทาผิวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดก็คือเวลาหลังอาบน้ำ เพราะช่วงที่หลังอาบน้ำเสร็จเป็นช่วงที่ผิวกำลังชุ่มชื้นแบบหมาดๆ เหมาะแก่การดูดซึมโลชั่น 

วิธีเลือกโลชั่น ควรเลือกอย่างไรดี?
หน้าร้อนจะใช้โลชั่นตัวไหนดี?
ช่วงหน้าร้อนนั้น แดดจะแรง ผิวจะดำและเสียง่าย จึงจำเป็นต้องใช้บอดี้โลชั่นประเภทไวท์เทนนิ่ง เพื่อที่จะเพิ่มความขาวให้กับผิวของเรานั่นเอง

หน้าหนาวจะใช้โลชั่นตัวไหนดี?
อากาศหน้าหนาวอาจทำให้ผิวเราเกิดอาการขาดน้ำส่งผลให้ผิวแห้งและแตกได้ จึงจำเป็นต้องบำรุงผิวด้วยโลชั่นจำพวกมอยเจอร์ไรเซอร์ เพื่อเพิ่มและกักเก็บความชุ่มชื้นให้กับผิว


สำหรับตัวที่แนะนำก็คือ
1. Vaseline Healthy White SPF 30 PA++ Serum Pink
ตัวนี้เหมาะสำหรับ : คนที่มีผิวหมองคล้ำ สีผิวไม่ค่อยสม่ำเสมอ และคนที่มีผิวแห้ง
vaseline ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของการฟื้นฟูผิวที่หมองคล้ำจากแสงแดด จุดด่างดำ สีผิวที่ไม่สม่ำเสมอใฟ้กลับมากระจ่างใสอย่างเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น


2. เภสัชบอดี้ไวท์เทนนิ่ง
เช็คราคา

เภสัชสีน้ำเงินเป็นโลชั่นบำรุงผิวผสมสารที่ช่วยป้องกันรังสีจากแสงแดด ช่วยลดความหมองคล้ำของผิว มีวิตามินบี 3 ที่จะช่วยปรับผิวให้กระจ่างใสยิ่งขึ้น
ถ้าใช้ vaseline + เภสัชบอดี้ไวท์เทนนิ่ง (ใช้ทาตอนก่อนนอน) จะเห็นผลได้ดีมากกกก


3. Citra Pearly White UV

เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการมีผิวที่เนียนนุ่ม
ตัวนี้จะมีจุดเด่นในเรื่องของความเนียนและช่วยให้ผิวขาวขึ้น โลชั่นยังมีกลิ่นที่หอมในระดับที่พอดีไม่แรงมากจนเกินไป


4. Jergens Original Beauty Lotion
เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการมีผิวแห้งและต้องการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
ตัวนี้จะช่วยในเรื่องของความชุ่มชื้นได้ดีากๆ เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแห้ง และเหมากับการใช้ในหน้าหนาว


5. Mistine White AURA
เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการมีผิวขาว
ตัวนี้ก็ตามชื่อเลย ช่วยในเรื่องของการบำรุงผิวให้สวยใส มีออร่า และก็ยังช่วยผลัดเซลล์ผิวที่หมองคล้ำอีกด้วย


6. Cathy Doll
เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการมีผิวขาว
ตัวนี้บอกเลยว่าจะรู้สึกว่าขาวขึ้นทันทีที่ทาเลย เนื้อโลชั่นมีความเบาบางมาก เกลี่ยนิดเดียวก็ได้แล้ว และทำให้ดูเหมือนขาวแบบเป็นธรรมชาติไม่หลอกตา เพราะเนื้อโลชั่นมีความซึมซับเข้ากับผิวได้ดี ข้อเสียก็คือกลิ่นที่ไม่ค่อยหอมสักเท่าไหร่


7. Johnson’s baby lotion
เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการเพิ่มความนุ่มให้กับผิว
เบบี้โลชั่นตัวนี้ ถ้าใช้ไปสักพักจะรู้สักได้เลยว่าผิวมีความนุ่มขึ้น ชุ่มชื้นขึ้น เหมาะกับการทาแล้วนอนในห้องแอร์ หรือคนที่ทำงานในห้องแอร์


8. NIVEA Whittenning
เช็คราคา

เหมาะกับ : คนที่ต้องการเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว
ตัวนี้มีส่วนผสมของคอลลาเจนที่จะช่วยให้ผิวกระจ่างใส ทำให้ผิวดูสม่ำเสมอขึ้น 


Photo by : lazada.com