5 วิธี ดูแลผิวแห้งยังไงให้หายภายในไม่กี่วัน

สำหรับสาวๆทั้งหลายที่มีผิวแห้งคงเป็นปัญหาที่สร้างความรำคาญใจพอสมควร วันนี้เรามีเคล็ดลับในการจัดการปัญหานี้ให้อยู่หมัด เป็นวิธีการดูแลผิวสำหรับสาวๆที่มีผิวแห้งโดยเฉพาะ


ลักษณะผิวแห้งนั้นเกิดจากหลายสาเหตุ อาจจะมาจากผลกระทบทั้งภายในและภายนอก ซึ่งแต่ละคนก็มีสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้นเราจำเป็นต้องรู้ตัวเองก่อนว่าที่เรามีอาการผิวแห้งนั้น สาเหตุมันเกิดจากอะไร



สาเหตุอะไรที่ทำให้เราผิวแห้ง?
การที่จะแก้ปัญหานั้นก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุ ไม่ใช่แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งการเกิดผิวแห้งนั้นหลายๆคนก็มีปัญหาหรือสาเหตุที่แตกต่างกันออกไป สาเหตุหลักๆก็เกิดจากสภาวะภายในและสภาพแวดล้อมถายนอก ก่อนอื่นเรามาดูสาเหตุที่ทำให้ผิวแห้งกันเลยดีกว่า

สาเหตุที่เกิดจากภายใน

ฮอร์โมน 
ในช่วงที่สาวๆนั้นมีประจำเดือนหรือช่วงที่เป็นระยะตั้งครรภ์นั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในปริมาณมากๆ จึงทำให้ฮอร์โมนในร่างกายไม่สมดุลกันส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของผิว โดยเฉพาะหลังคลอดจะสามารถเห็นถึงความแตกต่างได้ชัดมากๆ

อายุที่เพิ่มขึ้น
แน่นอนว่าเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงเรื่องของอายุที่เพิ่มขึ้นได้ และด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นนี่แหละ มันจะทำให้ผิวสูญเสียไขมันไปทีละนิด ส่งผลให้ให้ผิวขาดความชุ่มชื้นที่มากขึ้น และทำให้ผิวแห้งนั่นเอง

สาเหตุที่เกิดจากภายนอก

สภาพอากาศ แสงแดด ฝุ่น ควัน
ด้วยประเทศไทยเราเป็นภูมิประเทศที่มีอากาศร้อน ซึ่งสภาพอากาศที่ร้อนนั้นทำให้ผิวแห้งมากขึ้นและยังไปกระตั้นให้เกิดริ้วรอยได้ง่ายอีกด้วย

การใช้ผลิตภัณฑ์ สบู่ ที่ไม่เหมาะกับผิว
สบู่หรือผลิตภัณฑ์รักษาสิวบางประเภทซึ่งมีหน้าที่กำจัดความมันออกจากผิวและถูกกำจัดออกไปในปริมาณที่มากเกินไปจึงทำให้ผิวแห้ง

การอาบน้ำอุ่นบ่อยๆจนเกินไป
การอาบน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นบ่อยๆนั้นทำให้ไขมันที่เคือบผิวอยู่ถูกทำลายไป หากเราลองอาบน้ำอ่อนเสร็จใหม่ๆแล้วปล่อยให้แห้งทิ้งไว้สักพักจะรู้สึกได้เลยว่าผิวมีความตึงและแห้ง


เราจะดูแลรักษาผิวแห้งอย่างไร?
เรามี 5 วิธีมานำเสนอเพื่อการดูแลรักษาผิวแห้งโดยเฉพาะ ดังนี้

1. ดื่มน้ำให้มากๆ
ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อเป็นการรักษาระดับความชื้นให้กับผิวนอกจากนี้การดื่มน้ำนั้นยังช่วยในเรื่องของระบบขับถ่ายอีกด้วย

2. อย่าอาบน้ำนานจนเกินไป
การอาบน้ำร้อนหรือน้ำอุ่นที่นานจนเกินไปจะทำให้ผิวสูญเสียไขมันมากขึ้น เพราะฉะนั้นเราควรจะอาบน้ำให้เร็วขึ้นเพื่อลดการสูญเสียไขมันที่เคลือบผิว

3. ใช้ครีมหรือมอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว
หลังอาบน้ำเสร็จ ให้เช็ดตัวให้พอหมาดๆ(อย่าแห้งจนสนิทจนเกินไป)จากนั้นให้รีบใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวในขณะที่ผิวยังมีความชื้นหมาดๆอยู่ เพื่อช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
สำหรับมอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็นที่นิยมและจะแนะนำก็ได้แก่




  • Cetaphil Moisturizing Cream มีส่วนผสมของ Humectant และ Emollient ซึ่งมีส่วนช่วยในการเก็บความชุ่มชื้นไว้ในผิว


4. รับประทานอาหารช่วยบำรุงผิว
ควรรับประทานอาหารหรือผลไม้ อย่างเช่น ปลาแซลมอน ไขมันจากปลา ส้ม มะม่วง เป็นต้น เพราะอาหารจำพวกนี้มีส่วนประกอบของไขมันที่จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว

5. เครื่องทำความชื้น
เมื่อเราอยู่ห้องแอร์ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำงานหรือแม้กระทั่งห้องนอนเอง จะทำให้เราผิวแห้งได้ง่าย วิธีช่วยอีกทางหนึ่งก็คือการเพิ่มความชื้นให้กับห้องซะ เครื่องทำความชื้นนี้ถือว่าช่วยได้ในระดับหนึ่ง มีอายุการใช้งานที่ยาวนานกว่าเครื่องสำอางบางตัวเลยที่เดียว ก็ถือว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มพอสมควร
ดูเครื่องเพิ่มความชื้น


สรุป

สรุปวิธีการดูแลผิวแห้งมีดังนี้
1. ดื่มน้ำให้มากๆ
2. อย่าอาบน้ำนานจนเกินไป
3. ใช้ครีมหรือมอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิว
4. รับประทานอาหารช่วยบำรุงผิว
5. เครื่องทำความชื้นก็ช่วยได้


3 เคล็ดลับง่ายๆที่ควรอ่านก่อนซื้อ Hada Labo ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว

Hada Labo ในความหมายภาษาญี่ปุ่นคือ ฮาดะ=ผิว, ลาโบะ=แล็บ หมายถึงแล็บที่วิจัยเกี่ยวกับเรื่องผิวนั่นเอง 


สำหรับหลายๆคนที่กำลังมองหาสินค้า Hada Labo หรือคนที่กำลังเลือกไม่ถูกว่าจะใช้สีไหนดีให้เหมาะกับตัวเอง วันนี้เราจะมาดูความแตกต่างของ Hada Labo แต่ละสีกันว่าเหมาะกับสภาพผิวแบบไหน


เราจะเขียนบทความเกี่ยวกับ
1. วิเคราะห์สภาพผิว
2. เปรียบเทียบ Hada Labo แต่ละสี
3. เปรียบเทียบราคาของ Hada Labo
4. สรุป


1. วิเคราะห์สภาพผิว

ทำไมเราควรวิเคราะห์สภาพผิวของตัวเองก่อนที่ะเลือกใช้เครื่องสำอาง?
ก็เพราะว่าการที่เรารู้ถึงปัญหาของผิวตัวเองนั้นจะทำให้เราสามารถแก้ปัญหาหรือรักษาได้อย่างตรงจุด 

ประเภทของสภาพผิวนั้น แบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ ผิวธรรมดา ผิวแห้ง ผิวมัน และผิวผสม

ผิวแห้ง
ลักษณะ : ผิวมีอาการแห้งตึง ขาดความชื้น เป็นขุยง่าย แตกง่าย ถ้าแห้งมากๆอาจจะมีอาการระคายเคือง คัน เป็นผื่น ถือได้ว่าเป็นลักษณะผิวที่เกิดริ้วรอยและแพ้ได้ง่าย

ผิวมัน 
ลักษณะ : เป็นผิวที่มีความมันมากจนเกินไป ล้างหน้าไปไม่กี่ชั่วโมงก็เกิดอาการมันอีกเร็ว เกิดสิวอุดตัน สิวอักเสบได้ง่าย รูขุมขนกว้าง แต่เกิดริ้วรอยยากกว่าผิวแห้ง

ผิวธรรมดา
ลักษณะ : เป็นผิวที่ไม่มันหรือไม่แห้งจนเกินไป มีความมันกับความชื้นที่สมดุลกัน รูขุมขนมีขนาดเล็ก ไม่ค่อยมีปัญหาเกี่ยวกับสิวเท่าไหร่นัก เรียกได้ว่าใครมีผิวลักษณะนี้ถือว่าโชคดี เพราะดูแลค่อนข้างง่ายกว่าผิวลักษณะอื่น

ผิวผสม
ลักษณะ : ผิวผสมเป็นผิวที่มีทั้งผิวแห้งและมันผสมกันอยู่ เช่น บริเวรแก้มอาจจะแห้งแต่ตรงจมูกมีความมันเยอะ จึวทำให้ผิวลักษณะนี้ดูแลยากกว่าผิวชนิดอื่นเป็นพิเศษ


2. เปรียบเทียบ Hada Labo แต่ละสี

พอเราวิเคราห์ผิวกันเรียบร้อยแล้ว ก็ถึงเวลาที่เราจะเลือกผลิตภัณฑ์ Hada labo ให้ตรงกับผิวของตัวเองกัน

ฮาดะลาโบะสีขาว Hada labo Super Hyaluronic Acid Moisturizing Lotion

Hada labo สีขาว

ฮาดะลาโบะสีขาวจะช่วยในเรื่องของการเพิ่มความชื่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวนุ่ม ซึ่งมีส่วนผสมที่โดดเด่นก็คือ Hyaluronic acid 3 ชนิด เพราะฉะนั้นสีขาวจึงเหมาะกับคนที่มีผิวแห้ง


ฮาดะลาโบะสีน้ำเงิน Hada labo Arbutin Whitening Lotion

Hada labo สีน้ำเงิน

ฮาดะลาโบะสีน้ำเงินนี้จะช่วยในเรื่องของความกระจ่างใสของผิว ช่วยลดความหมองคล้ำ และยังช่วยลดความมันบนผิวหน้าได้อีกด้วย ส่วนผสมหลักๆก็จะมี Arbutin และ vitamin C สีน้ำเงินจึงเหมาะกับคนที่ต้องการลดความมันบนใบหน้าและเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิว หรือคนที่มีผิวมันมากๆนั่นเอง


ฮาดะลาโบะสีแดง Hada labo Retinol Lifting and Firming Lotion

Hada labo สีแดง

ฮาดะลาโบะสีแดงจะช่วยในเรื่องของการลดริ้วรอยที่เกิดจากสิวหรือริ้วรอยที่เกิดจากวัย ช่วยกระชับผิวให้ผิวเต่งตึง แลดูอ่อนวัย และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวอีกด้วย ส่วนผสมหลักๆก็จะมี Collagen, Retinol Vitamin A, และ Super Hyaluronic Acid สีแดงนี้จริงๆแล้วก็เหมาะกับทุกสภาพผิว สำหรับคนที่ต้องการดูแลในเรื่องของริ้วรอยก็แนะนำสีแดงเลย


3. เปรียบเทียบราคาของ Hada Labo 

Hada labo สีขาว :
ขนาด 170 ml. ราคาประมาณ  460 บาท

Hada labo สีน้ำเงิน :
ขนาด 170 ml. ราคาประมาณ  520 บาท

Hada labo สีแดง : 
ขนาด 170 ml. ราคาประมาณ 690 บาท

ปล. ราคาเหล่านี้เป็นราคาโดยประมาณ เพราะแต่ละร้านราคาไม่เท่ากัน


4. สรุป

Hada labo สีขาว : ช่วยบำรุงความชุ่มชื้น เหมาะสำหับคนผิวแห้ง
Hada labo สีน้ำเงิน : ช่วยเพิ่มความกระจ่างใส และช่วยลดความมันเหมาะสำหรับคนที่มีผิวมัน
Hada labo สีแดง : ช่วยลดริ้วรอยและเพิ่มความชุ่มชื้น เหมาะกับคนทุกผิว

เคล็ดลับง่ายๆ ก่อนซื้อฮาดะลาโบะ (Hada labo) อันไหนผลิตจาก Japan อันไหนจาก China

สำหรับหลายๆคนที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของ Hada labo อยู่ หรือสำหรับคนที่กำลังศึกษาหาข้อมูลว่าจะเลือกซื้อสินค้านี้ดีไหม แต่ก่อนที่จะตัดสินใจ อยากให้ลองศึกษากันสักนิดว่ามันผลิตมาจากไหน และทำไมถึงแตกต่างกัน

วันนี้เรามีเคล็ดลับที่ไม่ใช่ความลับอีกต่อไปมานำเสนอ นั่นก็คือวิธีการง่ายๆสำหรับการดูว่าแพ็คเก็จจิ้งของ Hada labo ที่มีความแตกต่างกัน อันไหน Made in Japan อันไหน Made in China

เปรียบเทียบ Hada labo

อันไหน Made in Japan อันไหน Made in China


Hada Labo Super Hyaluronic Acid Hydrating Lotion


จากรูป
(ซ้าย) : ตัวคันจิ จีน
(ขวา) : ตัวคันจิ ญี่ปุ่น


Hada Labo Perfect Gel

จากรูป
(ซ้าย) : ตัวคันจิ จีน
(ขวา) : ตัวคันจิ ญี่ปุ่น


จากรูปจะเห็นสิ่งที่แตกต่างกันก็คือ ตัวอักษร (คันจิ) โดยทั้งจีนและญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ใช้คันจิ แต่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อย สำหรับคนที่เรียนภาษาจีนหรือญี่ปุ่นก็น่าจะรู้จักดี


ทำไมถึงได้ผลิตจากจีน?

Hada Labo ที่ขายอยู่ในประเทศไทย จะผลิตจากจีนโดยบริษัท เมนโทลาทั่ม (ไชน่า) ฟาร์มาซูติคอล จำกัด และวางขายในหลายประเทศแถบเอเชีย ส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ Hada Labo ที่ผลิตจากบริษัทนี้อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น ด้วยความต้องการที่จะลดต้นทุนในการผลิตสินค้าจึงทำให้ต้องผลิตที่จีนนั่นเอง

เมื่อเทียบราคา Hada Labo ที่ผลิตจากญี่ปุ่นแล้วก็ไม่ได้ถูกมากไปกว่าที่ผลิตในจีน 

ทั้งนี้ แพ็คเกจจิ้งสิ้นค้าที่ไม่เหมือนกับแพ็คเกจจิ้งที่ผลิตจากญี่ปุ่นอาจเสี่ยงว่านั่นเป็นของปลอม หรือหากเจอสินค้าที่ถูกมากๆจนเกินเหตุ สิ้นค้าชิ้นนั้นก็อาจเสี่ยงที่จะเป็นสินค้าปลอมเช่นกัน


สรุป

ถ้าใครไม่สนใจว่าผลิตจากที่ไหนก็ซื้อได้เลย แต่ถ้าอยากได้ Hada Labo ที่ผลิตจาก Japan มากกว่าก็เลือกดูแพ็คเกจจิ้งตามรูปด้านบน

คลิ๊กเพื่อดูแพ็คเกจจิ้ง Hada labo ที่เป็นแบบญี่ปุ่น

Hada Labo สีทอง  Hada Laboสีขาว


Hada Labo ที่ขายในไทยส่วนใหญ่ผลิตจากจีนจริง แต่การมีแพ็คเกจจิ้งที่แตกต่างจนเกินไปอาจเสี่ยงต่อการเป็นของปลอม


หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาเยี่ยมชมนะครับ


ดูรีวิวที่เกี่ยวข้อง